วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สติ๊กเกอร์ Line Mr.Pfizer จากบริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย)


เหล่ามิสเตอร์ไฟเซอร์ แอนด์ เดอะแก๊งค์

ไฟเซอร์ เปิดตัว สติกเกอร์ไลน์ - มิสเตอร์ ไฟเซอร์ ห่วงใยสุขภาพ


บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัดหนึ่งในผู้นำนวัตกรรมยาคุณภาพของโลก เชิญชวนคนไทยใส่ใจสุขภาพเปิดตัวสติกเกอร์ไลน์ มิสเตอร์ไฟเซอร์ แอนด์ เดอะแก๊ง ภายใต้คอนเซ็ปต์ มิสเตอร์ไฟเซอร์ห่วงใยสุขภาพ โดยวันที่ 4พฤศจิกายน 2557 เป็นวันแรกของการดาวน์โหลดไลน์สติกเกอร์

มิสเตอร์ไฟเซอร์ แอนด์ เดอะแก๊ง เป็นสติ๊กเกอร์ที่ประกอบไปด้วย มิสเตอร์ไฟเซอร์ (Mr.Pfizer)  เวล (Well) และแคร์ (Care)จำนวน 16 แบบ ออกแบบโดยการนำความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนายาของไฟเซอร์มาใส่ไว้ในตัวมิสเตอร์ไฟเซอร์  รวมทั้งเวลและแคร์ ที่ออกแบบให้เป็นคู่รักอารมณ์ดี มีความใส่ใจในการดูแลสุขภาพซึ่งกันและกัน
มิสเตอร์ไฟเซอร์ แอนด์ เดอะแก๊ง

QR Code:




กุลธิดา ลีนะบรรจง ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัดเปิดเผยว่า “ไฟเซอร์ ประเทศไทย ได้วางกลยุทธ์การสื่อสารแบรนด์บนสื่อดิจิตอลผ่านทางเว็บไซต์ต่างๆ รวมถึงยูทูบ และไลน์ออฟฟิเชียลแอคเคาท์ ที่เชื่อว่าจะสามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนนอกจากสื่อดิจิตอลแล้ว ไฟเซอร์ยังได้ออกแคมเปญการสื่อสารแบรนด์ผ่านทางสื่อวิทยุ และสื่อ Transitเพื่อให้ข้อมูลเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น”

การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งที่ประชาชนทุกวัยควรปฎิบัติ ดังนั้นการสื่อสารผ่านช่องทางไลน์จึงเหมาะกับผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ในฐานะที่ไฟเซอร์เป็นหนึ่งในบริษัทยาคุณภาพที่คำนึงและห่วงใยสุขภาพ ต้องการเห็นประชาชนทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีมิสเตอร์ไฟเซอร์ จะทำหน้าที่ให้ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพทั่วไปผ่านทางไลน์  สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี ตั้งแต่วันที่ 4พฤศจิกายน 2557ถึงวันที่ 3ธันวาคม 2557
ไฟเซอร์... หนึ่งในผู้นำนวัตกรรมยาคุณภาพของโลก


คุณกุลธิดา ลีนะบรรจงผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร ไฟเซอร์ ประเทศไทย ในงานเปิดตัวมิสเตอร์ไฟเซอร์ ณ บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด อาคารยูไนเต็ด เซ็นเตอร์



LINE ID: PfizerThailand




# # #

ข้อมูลเกี่ยวกับ บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด

บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ก่อตั้งโดยไฟเซอร์ อิงค์ ใน พ.ศ. 2501เป็นหนึ่งในบริษัทชีวเวชภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ตลอดระยะเวลา 56 ปีในเมืองไทย ไฟเซอร์ ประเทศไทยยังคงนำเสนอนวัตกรรมยาและเวชภัณฑ์ใหม่ที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการรักษาและป้องกันโรคอย่างต่อเนื่องเพื่อให้คนไทยมีชีวิตและสุขภาพที่ดี นอกจากนี้ยังร่วมมือกับผู้ให้บริการสุขภาพ บุคลากรทางการแพทย์ องค์กรทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถิ่นทั่วประเทศเพื่อขยายการเข้าถึงยาและบริการสนับสนุนการดูแลสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) มีพนักงานกว่า 400 คน ร่วมมือกันปฏิบัติงานในทุกวัน โดยยึดมั่นในความรับผิดชอบและการเป็นที่ไว้วางใจของสังคม ด้วยการนำเสนอทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์ในการตอบสนองความต้องการทางการแพทย์ที่หลากหลายของผู้ป่วยในประเทศไทย สนใจกิจกรรมและข้อมูลสุขภาพติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.pfizer.co.th

วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Trivia Google Adwords Digital Agency/

http://flexmedia.co.th/roi/2014/06/27/trivia-google-adwords-digital-agency/

เกร็ดน้อยเกร็ดน้อย Google AdWords ที่คุณอาจจะไม่รู้ (ฉบับ Digital Agency)

1.  Google AdWords คือโปรแกรมโฆษณาออนไลน์บนเครือข่ายของ Google แต่คนมักจะกล่าวถึง Google AdWords ในเชิงแทนความหมายของการลงโฆษณาแบบ PPC (Pay-Per-Click) แม้กระทั่ง Digital Agency ก็ตาม
2.  โฆษณาของ Google Adwords นั้น สามารถปรากฎได้ที่
    • Search Engine Result Page (SERP) ของ Google
    • เว็บไซต์ที่ใช้ระบบค้นหาของ Google โดยจะเรียกว่า Search Partner
    • เว็บไซต์ หรือ Application ที่เข้าร่วมโปรแกรม Google AdSense โดยจะเรียกเครือข่ายนี้ว่า Google Display Network (GDN)
    • YouTube และเว็บไซต์วีดีโออื่นๆ ที่เป็น Partner
3.  ค่าใช้จ่ายของ Google AdWords สามารถแยกออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ
    • Cost Per Click (CPC)
    • Cost Per Impression (CPM)
    • Cost Per View (CPV)
    • นอกเหนือจากนี้จะยังมี ECPC, CPE, CPA ฯลฯ ซึ่งจะเป็นประเภทที่ใช้ตามจุดประสงค์ของแต่ละแคมเปญโฆษณา
4. Google AdWords ใช้ระบบประมูล (Auction) ในการคัดเลือกแสดงโฆษณาในที่ต่างๆ เพื่อความเป็นกลาง (และกำไร) ในการลงโฆษณา โดยระบบนี้ใช้เหมือนกันทุก Account และทุกประเภทโฆษณา ถึงแม้จะเป็น Digital Agency ก็ไม่มีสิทธิพิเศษได้รับการยกเว้นแต่อย่างใด
5.  แต่เพื่อป้องกันการล๊อคตำแหน่งโฆษณาด้วยการ CPC Bidding  สูงๆ Google AdWords จึงใช้ Performance ของ Campaign อย่าง Quality Score เข้ามามีส่วนในการตัดสินเลือกแสดงโฆษณา เพื่อให้แคมเปญที่ดีมีคุณภาพ ตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการได้แสดงโฆษณา
6.  จากข้อที่ 5 จะเห็นได้ว่า Google AdWords ให้ความสำคัญกับคุณภาพของโฆษณา Quality Score จึงเป็นอีกค่าสำคัญมาก จนทำให้มีกรณีที่ได้ Quality Score ที่ต่ำกว่ามาตรฐาน โฆษณาจะไม่แสดงผล ถึงแม้ CPC Bidding จะสูงก็ตาม
Google AdWords Ads Appear
7.  ทุกคนสามารถลงโฆษณากับ Google AdWords ได้ แต่มีไม่มากนักที่จะสามารถวิเคราะห์ผลของแคมเปญเพื่อใช้ประโยชน์ต่อได้ 
8.  การลงโฆษณาแบบ Banner ไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่ง หรือ Flash สามารถโฆษณาได้บน Google Display Network เท่านั้น
9.  หน้า Landing Page คือหน้าเว็บหน้าแรกที่ผู้ใช้จะเจอหลังจาก Click โฆษณา แต่ไม่แนะนำให้ใช้ Facebook Fan Page เป็นหน้า Landing Page เพราะระบบของ Google AdWords จะไม่สามารถตรวจสอบความเชื่อมโยงของ Campaign ได้จึงทำให้ Quality Score ต่ำ และจะส่งผลให้ CPC สูงขึ้น จนบางครั้ง Quality Score จะต่ำจนโฆษณาไม่สามารถแสดงได้ (แต่บาง Digital Agency จะใช้ในบางแคมเปญ เพราะเหตุจำเป็น)
10.  Google AdWords มักจะ Update Interface, Feature, Tool, ประเภทโฆษณา ฯลฯ โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า หรือไม่แจ้งเลย จนผู้ใช้ได้พบเห็นเอง

วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557

อาภิรัตน์ เกียรติไพบูลย์ : ประธานบริหาร บริษัท แม็กซ์ แอนด์ ไมตี้ (ประเทศไทย)

       แม็กซ์  แอนด์ ไมตี้  รุกตลาดเครื่องสำอางในไทย นำเข้ามิสชาผลิตภัณฑ์เสริมความงามจากประเทศเกาหลี หวังเจาะกลุ่มตลาดระดับบี ตั้งเป้ายอดขายปีแรก 300 ล้านบาท วางแผนอีก 5 ปีมี 100 สาขา
       

                    นายอาภิรัตน์  เกียรติไพบูลย์  ประธานบริหาร บริษัท แม็กซ์ แอนด์ ไมตี้ (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า เทรนด์กระแสเกาหลีมาแรงมาก เห็นได้ชัดจากกระแสแฟชั่นเกาหลีที่มาแรงทั้งในด้านภาพยนตร์ ละคร และเครื่องแต่งกาย มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วในกลุ่มของวัยรุ่น  ผู้บริโภครับรู้ข่าวสารจากต่างประเทศมากขึ้น ทำให้เป็นช่องทางในการเลือกซื้อและบริการมากขึ้นโดยเฉพาะสินค้าจากต่างประเทศ ได้การตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี”
     
       บริษัทฯยังใช้กลยุทธ์สมาชิกด้วย ในช่วงแรกสามารถสมัครเป็นสมาชิกได้ฟรีและเมื่อ ลูกค้าซื้อสินค้าครบ 5,000 บาทจะได้ส่วนลด 5%  ส่วนยอดสินค้าที่นำเข้ามีมากถึง 600 - 700 ชนิด โดยมีราคาตั้งแต่ 40 บาทขึ้นไป
     
       มิสชามีผลิตภัณฑ์มากกว่า 900 ชนิด ใช้เวลาเพียง แค่ 6 ปี ขยายสาขามากกว่า 320 สาขาทั่วโลก ปีหน้าจะขยายอีก 500 สาขาทั่วโลก ยอดขายทั่วโลกอยู่ที่ 8 พันล้านบาทต่อปี ส่วนในไทยนั้นยอดขายช่วงสองเดือนที่ผ่านมาประมาณ 3 - 5 หมื่นบาทต่อวัน



      นาย คิม อีน โยบ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท แม็กซ์ ไมตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ได้ศึกษาผู้บริโภคในประเทศไทยมาเป็นเวลา 2 ปี มองเห็นช่องทางในการทำตลาดเครื่องสำอางในระดับกลางจึงตัดสินใจนำผลิตภัณฑ์มิสชา  (MISSHA) เข้ามาทำตลาด
     
       ปัจจุบันนี้เครื่องสำอางในประเทศไทยมีมูลค่าทางการตลาดรวมสูงกว่า 35,500 ล้านบาท มีสัดส่วนเครื่องสำอางขายตรง 60% เครื่องสำอางเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้า 30% และอีก 10% ่จะอยู่ในตลาดแมสหรือจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ต ส่วนช่องทางสแตนด์อโลน ชอปจะเป็นการผสมผสานระหว่างการขายตรงกับแมสเข้าด้วยกัน โดยคาดว่าตลาดรวมจะมีอัตราการเจริญเติบโตถึง 15% ในปีนี้
     
       โดยแผนการทำตลาดของมิสชาจะดำเนินการทั้ง Above the line และ Below the line ภายใต้งบประมาณ 40 ล้านบาทในปี 2549 ที่จะรุกเต็มที่ช่วง 2 ไตรมาสแรก จัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการตกแต่งหน้าและการดูแลผิวหน้าที่ถูกต้องกับนักศึกษาตามมหาวิทยาลัย  ลูกค้าสมาชิก  และผู้ที่สนใจทั่วไป การสร้างภาพลักษณ์ตราสินค้า คาดว่าบริษัทฯจะสามารถทำยอดขายในช่วงปีแรกประมาณ 300 ล้านบาท
     
       ขณะนี้บริษัทฯได้เปิดร้านสแตนด์อโลน ชอปแล้ว 3 สาขาที่ ซีคอนสแควร์ สีลม ห้วยขวาง ล่าสุดเปิดที่สาขาสยามสแควร์ ซอย 4 เจาะกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคทุกเพศ ทุกวัย อายุ 15 ปีขึ้นไป  คาดว่าจะขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีก 20 สาขา ในปี 2006 และในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 100 สาขา   

http://www.manager.co.th/iBizchannel/ViewNews.aspx?NewsID=9480000162964
http://www.all-magazine.com/ColumnDetail/allColumDetail/tabid/106/articleType/ArticleView/articleId/2608/--.aspx       

อาภิรัตน์ เกียรติไพบูลย์

"สัมภาษณ์คุณอาภิรัตน์ เกียรติไพบูลย์  ธีระวัฒน์ เลาหพันธุ์  และคุณชัชชวี วัฒนสุข ซีอีโอของที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์"


       ‘เครื่องดื่มในโถกด’ ที่จำหน่ายในเซเว่น อีเลฟเว่น เป็นธุรกิจที่ก่อร่างสร้างฐานขึ้นจากการสนทนาของคนหนุ่ม 2 คน ที่มีประสบการณ์และทักษะด้านการตลาด ได้แก่ อาภิรัตน์ เกียรติไพบูลย์ และ ธีระวัฒน์ เลาหพันธุ์ โดยมีแนวคิดเหมือนกันคือ ต้องการเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง พวกเขาจึงวางแผนการตลาดก่อนที่จะก่อตั้ง ‘บริษัท ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ จำกัด’ ขึ้นเมื่อปี 2545 ต่อมา ชัชชวี วัฒนสุข ได้เข้าร่วมเป็นเจ้าของธุรกิจโดยดำรงตำแหน่งซีอีโอ และได้ร่วมกันวางแผนและปรับแผนธุรกิจจนสามารถสร้างรายได้ในปีนี้เกินพันล้านบาท!

เพราะมี ‘โอกาส’ จึงได้แจ้งเกิด ‘เครื่องดื่ม’          “จริง ๆ เราไม่ได้มีสินค้า (Product) อยู่แล้ว แต่เรามองว่าสินค้าของเราน่าจะเป็นช่องทางทำตลาด (channel) อย่างหนึ่ง คือเราเห็นโอกาสที่จะทำธุรกิจน้ำดื่มในตู้กดที่เซเว่นอีเลฟเว่น เรามองก่อนว่าตรงนี้มีตลาดนะ มีโอกาสที่จะขายสินค้าได้ เหมาะสมกับผู้บริโภค แล้วก็เหมาะกับช่องทางการจัดจำหน่าย วันนั้นอายุยังไม่ถึง 30 กันเลย แต่เราก็ตั้งบริษัท ใช้เวลาประมาณ 7 - 8 เดือนในการพัฒนาจนได้สินค้าที่เราคิดว่าโอเคแล้ว จากนั้นจึงเข้าไปนำเสนอเซเว่นฯ ซึ่งก็ใช้เวลาอีกประมาณ 7 - 8 เดือนเหมือนกันกว่าจะได้เริ่มทำแล้วก็ขายกันจริง ๆ ถือว่าเซเว่นฯ ให้โอกาสเรามาก เพราะตอนนั้นบริษัทก็ยังใหม่มาก” คุณชัชชวี วัฒนสุข ซีอีโอของที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ เกริ่นให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของบริษัทที่เกิดจาก การสังเกต และ เห็นโอกาสการขาย
          ที.เอ.ซี.วางตัวเองในฐานะผู้คิดค้นและผลิตสินค้าเพื่อป้อนเข้าสู่เซเว่นฯ โดยเน้นการวิจัยและพัฒนา (Research & Development) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสินค้าตัวแรกที่คิดสูตรสำเร็จและได้จำหน่ายในโถกดคือ ชาเย็น ตามมาด้วย ชานม กาแฟ และ น้ำผลไม้ เช่น น้ำพั้นช์ น้ำแคนตาลูป โดยในปีแรกของการจำหน่ายเครื่องดื่มนั้น ที.เอ.ซี.มีรายได้รวม 24 ล้านบาท และในปี 2555 นี้ รายได้รวมเพิ่มสูงถึง 800 ล้านบาท เนื่องจากตลอดระยะเวลาการทำธุรกิจทีมงานมีความมุ่งมั่น ตั้งใจจริงในการทำงาน และคิดสิ่งใหม่ตลอดเวลา
          “เครื่องดื่มในโถกดนี่เป็นตัวที่เราทำงานค่อนข้างหนัก  ร่วมกับฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ (Merchandise) ฝ่ายขาย และซัพพลายเออร์ของ บมจ. ซีพี ออลล์ ปกติไอเดียมันจะมาจาก
ทุกทิศทุกทาง คือเราก็จะเวิร์คช็อปร่วมกันแล้วก็มีทั้งแบบที่เรานำเสนอ แล้วก็มีทั้งแบบที่เซเว่นฯ
บรีฟให้เราทำ อย่างต้นปีนี้เรามีการออก กาแฟเย็นลาเต้ ซึ่งกลายเป็นสินค้าใหม่ที่ประสบความสำเร็จสูงสุด ตั้งแต่เราทำงานกับเซเว่นฯ มา ยอดขายพุ่งขึ้นสูงมาก คราวนี้ปัญหาเกิดขึ้น เพราะว่า
โถกดมีอยู่ 4 โถ คือ กาแฟคอฟฟิก้า มีชาเซนย่า มีโอวัลติน มีกาแฟลาเต้ ซึ่งเป็นสินค้าที่ขายดีอยู่แล้ว แต่เรามีสินค้าอีก 4 - 5 ตัวที่พร้อมจะวางขายเพียงแต่ไม่รู้จะใส่โถที่ไหน แถมยังมีสินค้าใหม่รออยู่ในตะกร้าอีกประมาณ 20 กว่าตัว เลยมีการนั่งคุยกันว่าเราจะขยายกันยังไง สงสัยต้องเอากาไปวางไว้ข้าง ๆ โถ (หัวเราะ)”
          สินค้ากลุ่มต่อมาที่ได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 2548 คือเครื่องดื่มประเภทชาบรรจุขวด แบรนด์
‘เซนย่า (Zenya)’ ที่เน้นให้ผู้บริโภคดื่มสะดวก (Ready to Drink) มีรสชาติหลากหลายให้เลือก อาทิ ชาเขียวรสดั้งเดิม, ชาเขียวรสซูเปอร์เลมอน, ชาเขียวกลิ่นมะลิ, ชาเขียวผสมน้ำทับทิม โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นวัยรุ่นอายุ 18 - 25 ปี
          “ชาเซนย่าขายดีในตลาดในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ ดูไบ คอนเซ็ปต์ของเซนย่าคือ เป็นคัลเลอร์ฟูล กรีนทีคือให้สุขภาพที่ดี แล้วก็ยังให้ความสนุกสดชื่นไปในตัว เรามองแล้วว่าตลาดชาเขียวในประเทศไทยจะมีบริษัทใหญ่เป็นตัวกระตุ้นอยู่ 3 - 4 เจ้า ซึ่งเขาใช้งบการตลาดค่อนข้างสูงมาก เราไม่ไปแข่งขันตรงนั้น ก็เลยปรับกลยุทธ์ด้านราคา คือเราขายขนาด 500 มิลลิลิตร ราคา 16 บาท เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่คุ้มค่า”
เครื่องดื่มในโถกด
          ต่อมา ในปี 2552 ที.เอ.ซี. ได้ผลิตเครื่องดื่มทางเลือก (Functional Drink) ‘กาแฟวี สลิม (V Slim Coffee)’กาแฟเย็นพร้อมดื่มควบคุมน้ำหนัก มีทั้งกาแฟเย็นและกาแฟร้อนกลุ่มเป้าหมายหลักคือ หญิงและชายอายุ 25 - 40 ปี ที่เริ่มต้องการตัวช่วยในการดูแลสุขภาพและรูปร่าง โดยเริ่มวางจำหน่ายเมื่อปีที่แล้ว แต่หลังจากสินค้าออกไม่ถึงเดือนโรงงานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาก็โดนน้ำท่วม รวมทั้งโรงงานของคู่ค้าที่ผลิตขวดกาแฟให้ วี สลิมจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแพ็คเกจจิ้งจากขวดพีทีทีเป็นกระป๋อง
          “ระหว่างการเปลี่ยนแพ็คเกจจิ้ง เราก็ได้วิจัยตลาด ปรากฏว่าสินค้าที่เป็นกระป๋องกลับมีโอกาสที่ดีกว่า เป็นกลุ่ม (segment) ที่มีฐานลูกค้ามากกว่า และตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้ตรงกว่า ขวดแบบเดิมก็จะไม่มีแล้ว”

ลูกชิ้นปิ้ง แฮปปี้เชฟ

‘ลูกชิ้นปิ้ง แฮปปี้เชฟ’
แตกไลน์สินค้า ลงทุนมากกว่า 50 ล้าน
          จากการที่เซเว่นฯ วางตำแหน่งให้ตัวเองให้เป็น ‘ร้านอิ่มสะดวก (Food Convenience Store)’ คุณชัชชวีจึงร่วมกับทีมผู้บริหารคิดเรื่องการแตกไลน์สินค้ากลุ่ม ‘ฟู้ด’เพื่อตอบสนองความต้องการของคู่ค้าและลูกค้าทั่วไป
          “เรื่องของแฮปปี้เชฟเนี่ย จริง ๆ โอกาสหรือว่าไอเดียมันได้มาจากทุกที่ ทุกเวลา วันนึงก็นั่งมองธุรกิจในเซเว่นฯ ในเมื่อเราเป็นคู่ค้า เราต้องมองว่ามีโอกาสอะไรที่จะต่อยอดธุรกิจให้โตขึ้นไปจากของเดิมที่เรามีอยู่แล้ว โอเค เราเข้าใจเซเว่นฯ และรู้ว่าสามารถพัฒนาตรงนี้ขึ้นมาเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน ก็เลยมองไปถึงธุรกิจ สแน็คฟู้ด (Snack Food) อาหารกินเล่น ถามว่า ‘ลูกชิ้นปิ้ง’ เป็นสินค้าที่คนไทยรู้จักกันมานาน เราก็เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ จึงไปคุยกับทางเซเว่นฯ ว่าเรามีไอเดียแบบนี้ สนใจที่จะพัฒนาร่วมกันหรือเปล่า ถ้าโอเค เราก็พร้อมที่จะลงทุนสร้างโรงงานเพื่อที่จะมาเสริมธุรกิจตรงนี้ สุดท้ายก็ได้ทำธุรกิจร่วมกัน เราเปิดโรงงานผลิตลูกชิ้นเสียบไม้แบบชิลล์ฟู้ด (Chilled Food อาหารแช่เย็น) แล้วก็สร้างแบรนด์ ‘แฮปปี้ เชฟ (Happy Chef)’ ให้ลูกชิ้นปิ้ง”
          และเมื่อลูกชิ้นปิ้งเติบโตจนอยู่ตัว ทีมผู้บริหารและทีมวิจัยยังผลิต ‘หมูปิ้งสูตรนมสด’ ออกมาจำหน่าย โดยอยู่ภายใต้แบรนด์‘แฮปปี้เชฟ’ เช่นเดียวกัน
          คุณชัชชวีอธิบายเคล็ดลับความสำเร็จให้ฟังว่า ที.เอ.ซี.ให้ความสำคัญในเรื่อง ‘การใส่ใจพันธมิตร’ คือไม่ทำให้ธุรกิจของตนเติบโตแต่เพียงฝ่ายเดียว หากแต่ต้องทำให้คู่ค้าพึงพอใจและประสบความสำเร็จไปด้วยกันจึงจะเป็นธุรกิจที่มั่นคง ยั่งยืน ที่สำคัญ ต้องรู้จักตัวเองด้วยว่ามีจุดแข็งด้านใด จึงจะทำให้ธุรกิจขับเคลื่อนต่อไปได้
         “เราจะมีจุดแข็งเรื่องของ ‘การตลาด’ ทั้งการทำการตลาด การวิจัยตลาด การวางแผนตลาด แล้วก็เรื่อง‘นวัตกรรมใหม่ ๆ(Innovation)’ โดยเรามีห้องแล็บของเราเองตั้งแต่วันแรกที่เราตั้งบริษัท ดังนั้น จะเห็นได้ว่าเรามีสินค้าใหม่ออกมาตลอด”
          ปัจจุบัน คุณชนิต สุวรรณพรินทร์ ได้เข้ามาเป็นผู้บริหารต่อจากคุณอาภิรัตน์ เกียรติไพบูลย์ และได้กล่าวถึงรายได้ของที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ว่า มาจากการขายสินค้าในเซเว่นฯ ประมาณ 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ โดยสินค้าที่สร้างรายได้มากที่สุดคือ ‘เครื่องดื่มในโถกด’และมั่นใจว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีรายได้รวมจากสินค้าทุกกลุ่มที่จำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศเกิน 1,100 ล้านบาท

 
http://www.manager.co.th/iBizchannel/ViewNews.aspx?NewsID=9480000162964
http://www.all-magazine.com/ColumnDetail/allColumDetail/tabid/106/articleType/ArticleView/articleId/2608/--.aspx

วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2557

อาภิรัตน์ เกียรติไพบูลย์ ประวัติ

 นายอาภิรัตน์  เกียรติไพบูลย์ ประธานบริหาร บริษัท แม็กซ์ แอนด์ ไมตี้ (ประเทศไทย)  
นายอาภิรัตน์  เกียรติไพบูลย์
  ประธานบริหาร บริษัท แม็กซ์ แอนด์ ไมตี้ (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า เทรนด์กระแสเกาหลีมาแรงมาก เห็นได้ชัดจากกระแสแฟชั่นเกาหลีที่มาแรงทั้งในด้านภาพยนตร์ ละคร และเครื่องแต่งกาย มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วในกลุ่มของวัยรุ่น  ผู้บริโภครับรู้ข่าวสารจากต่างประเทศมากขึ้น ทำให้เป็นช่องทางในการเลือกซื้อและบริการมากขึ้นโดยเฉพาะสินค้าจากต่างประเทศ ได้การตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี”
       
       บริษัทฯยังใช้กลยุทธ์สมาชิกด้วย ในช่วงแรกสามารถสมัครเป็นสมาชิกได้ฟรีและเมื่อ ลูกค้าซื้อสินค้าครบ 5,000 บาทจะได้ส่วนลด 5%  ส่วนยอดสินค้าที่นำเข้ามีมากถึง 600 - 700 ชนิด โดยมีราคาตั้งแต่ 40 บาทขึ้นไป
       
       มิสชามีผลิตภัณฑ์มากกว่า 900 ชนิด ใช้เวลาเพียง แค่ 6 ปี ขยายสาขามากกว่า 320 สาขาทั่วโลก ปีหน้าจะขยายอีก 500 สาขาทั่วโลก ยอดขายทั่วโลกอยู่ที่ 8 พันล้านบาทต่อปี ส่วนในไทยนั้นยอดขายช่วงสองเดือนที่ผ่านมาประมาณ 3 - 5 หมื่นบาทต่อวัน            แม็กซ์  แอนด์ ไมตี้  รุกตลาดเครื่องสำอางในไทย นำเข้ามิสชาผลิตภัณฑ์เสริมความงามจากประเทศเกาหลี หวังเจาะกลุ่มตลาดระดับบี ตั้งเป้ายอดขายปีแรก 300 ล้านบาท วางแผนอีก 5 ปีมี 100 สาขา
       

       นาย คิม อีน โยบ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท แม็กซ์ ไมตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ได้ศึกษาผู้บริโภคในประเทศไทยมาเป็นเวลา 2 ปี มองเห็นช่องทางในการทำตลาดเครื่องสำอางในระดับกลางจึงตัดสินใจนำผลิตภัณฑ์มิสชา  (MISSHA) เข้ามาทำตลาด
       
       ปัจจุบันนี้เครื่องสำอางในประเทศไทยมีมูลค่าทางการตลาดรวมสูงกว่า 35,500 ล้านบาท มีสัดส่วนเครื่องสำอางขายตรง 60% เครื่องสำอางเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้า 30% และอีก 10% ่จะอยู่ในตลาดแมสหรือจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ต ส่วนช่องทางสแตนด์อโลน ชอปจะเป็นการผสมผสานระหว่างการขายตรงกับแมสเข้าด้วยกัน โดยคาดว่าตลาดรวมจะมีอัตราการเจริญเติบโตถึง 15% ในปีนี้
       
       โดยแผนการทำตลาดของมิสชาจะดำเนินการทั้ง Above the line และ Below the line ภายใต้งบประมาณ 40 ล้านบาทในปี 2549 ที่จะรุกเต็มที่ช่วง 2 ไตรมาสแรก จัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการตกแต่งหน้าและการดูแลผิวหน้าที่ถูกต้องกับนักศึกษาตามมหาวิทยาลัย  ลูกค้าสมาชิก  และผู้ที่สนใจทั่วไป การสร้างภาพลักษณ์ตราสินค้า คาดว่าบริษัทฯจะสามารถทำยอดขายในช่วงปีแรกประมาณ 300 ล้านบาท
       
       ขณะนี้บริษัทฯได้เปิดร้านสแตนด์อโลน ชอปแล้ว 3 สาขาที่ ซีคอนสแควร์ สีลม ห้วยขวาง ล่าสุดเปิดที่สาขาสยามสแควร์ ซอย 4 เจาะกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคทุกเพศ ทุกวัย อายุ 15 ปีขึ้นไป  คาดว่าจะขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีก 20 สาขา ในปี 2006 และในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 100 สาขา


http://www.manager.co.th/iBizchannel/ViewNews.aspx?NewsID=9480000162964          

...................................

อาภิรัตน์ เกียรติไพบูลย์  ก่อตั้งบริษัท ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ จำกัด’ ขึ้นเมื่อปี 2545

 ‘เครื่องดื่มในโถกด’ ที่จำหน่ายในเซเว่น อีเลฟเว่น เป็นธุรกิจที่ก่อร่างสร้างฐานขึ้นจากการสนทนาของคนหนุ่ม 2 คน ที่มีประสบการณ์และทักษะด้านการตลาด ได้แก่ อาภิรัตน์เกียรติไพบูลย์ และ ธีระวัฒน์ เลาหพันธุ์ โดยมีแนวคิดเหมือนกันคือ ต้องการเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง พวกเขาจึงวางแผนการตลาดก่อนที่จะก่อตั้ง ‘บริษัท ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ จำกัด’ ขึ้นเมื่อปี 2545 ต่อมา ชัชชวี วัฒนสุข ได้เข้าร่วมเป็นเจ้าของธุรกิจโดยดำรงตำแหน่งซีอีโอ และได้ร่วมกันวางแผนและปรับแผนธุรกิจจนสามารถสร้างรายได้ในปีนี้เกินพันล้านบาท!

เพราะมี ‘โอกาส’ จึงได้แจ้งเกิด ‘เครื่องดื่ม’          “จริง ๆ เราไม่ได้มีสินค้า (Product) อยู่แล้ว แต่เรามองว่าสินค้าของเราน่าจะเป็นช่องทางทำตลาด (channel) อย่างหนึ่ง คือเราเห็นโอกาสที่จะทำธุรกิจน้ำดื่มในตู้กดที่เซเว่นอีเลฟเว่น เรามองก่อนว่าตรงนี้มีตลาดนะ มีโอกาสที่จะขายสินค้าได้ เหมาะสมกับผู้บริโภค แล้วก็เหมาะกับช่องทางการจัดจำหน่าย วันนั้นอายุยังไม่ถึง 30 กันเลย แต่เราก็ตั้งบริษัท ใช้เวลาประมาณ 7 - 8 เดือนในการพัฒนาจนได้สินค้าที่เราคิดว่าโอเคแล้ว จากนั้นจึงเข้าไปนำเสนอเซเว่นฯ ซึ่งก็ใช้เวลาอีกประมาณ 7 - 8 เดือนเหมือนกันกว่าจะได้เริ่มทำแล้วก็ขายกันจริง ๆ ถือว่าเซเว่นฯ ให้โอกาสเรามาก เพราะตอนนั้นบริษัทก็ยังใหม่มาก” คุณชัชชวี วัฒนสุข ซีอีโอของที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ เกริ่นให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของบริษัทที่เกิดจาก การสังเกต และ เห็นโอกาสการขาย
          ที.เอ.ซี.วางตัวเองในฐานะผู้คิดค้นและผลิตสินค้าเพื่อป้อนเข้าสู่เซเว่นฯ โดยเน้นการวิจัยและพัฒนา (Research & Development) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสินค้าตัวแรกที่คิดสูตรสำเร็จและได้จำหน่ายในโถกดคือ ชาเย็น ตามมาด้วย ชานม กาแฟ และ น้ำผลไม้ เช่น น้ำพั้นช์ น้ำแคนตาลูป โดยในปีแรกของการจำหน่ายเครื่องดื่มนั้น ที.เอ.ซี.มีรายได้รวม 24 ล้านบาท และในปี 2555 นี้ รายได้รวมเพิ่มสูงถึง 800 ล้านบาท เนื่องจากตลอดระยะเวลาการทำธุรกิจทีมงานมีความมุ่งมั่น ตั้งใจจริงในการทำงาน และคิดสิ่งใหม่ตลอดเวลา
          “เครื่องดื่มในโถกดนี่เป็นตัวที่เราทำงานค่อนข้างหนัก  ร่วมกับฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ (Merchandise) ฝ่ายขาย และซัพพลายเออร์ของ บมจ. ซีพี ออลล์ ปกติไอเดียมันจะมาจาก
ทุกทิศทุกทาง คือเราก็จะเวิร์คช็อปร่วมกันแล้วก็มีทั้งแบบที่เรานำเสนอ แล้วก็มีทั้งแบบที่เซเว่นฯ
บรีฟให้เราทำ อย่างต้นปีนี้เรามีการออก กาแฟเย็นลาเต้ ซึ่งกลายเป็นสินค้าใหม่ที่ประสบความสำเร็จสูงสุด ตั้งแต่เราทำงานกับเซเว่นฯ มา ยอดขายพุ่งขึ้นสูงมาก คราวนี้ปัญหาเกิดขึ้น เพราะว่า
โถกดมีอยู่ 4 โถ คือ กาแฟคอฟฟิก้า มีชาเซนย่า มีโอวัลติน มีกาแฟลาเต้ ซึ่งเป็นสินค้าที่ขายดีอยู่แล้ว แต่เรามีสินค้าอีก 4 - 5 ตัวที่พร้อมจะวางขายเพียงแต่ไม่รู้จะใส่โถที่ไหน แถมยังมีสินค้าใหม่รออยู่ในตะกร้าอีกประมาณ 20 กว่าตัว เลยมีการนั่งคุยกันว่าเราจะขยายกันยังไง สงสัยต้องเอากาไปวางไว้ข้าง ๆ โถ (หัวเราะ)”
          สินค้ากลุ่มต่อมาที่ได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 2548 คือเครื่องดื่มประเภทชาบรรจุขวด แบรนด์
‘เซนย่า (Zenya)’ ที่เน้นให้ผู้บริโภคดื่มสะดวก (Ready to Drink) มีรสชาติหลากหลายให้เลือก อาทิ ชาเขียวรสดั้งเดิม, ชาเขียวรสซูเปอร์เลมอน, ชาเขียวกลิ่นมะลิ, ชาเขียวผสมน้ำทับทิม โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นวัยรุ่นอายุ 18 - 25 ปี
          “ชาเซนย่าขายดีในตลาดในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ ดูไบ คอนเซ็ปต์ของเซนย่าคือ เป็นคัลเลอร์ฟูล กรีนทีคือให้สุขภาพที่ดี แล้วก็ยังให้ความสนุกสดชื่นไปในตัว
http://www.all-magazine.com/ColumnDetail/allColumDetail/tabid/106/articleType/ArticleView/articleId/2608/--.aspx